สวัสดีคะ สำหรับวันนี้จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับแรงงานสัมพันธ์นะคะ ข้อมูลอาจไม่ครบนะคะถ้าน้องๆสนใจเกี่ยวกับงานที่พี่นำเสนอก็สามารถสอบถามได้นะคะ พี่จะอัฟข้อมูลเกี่ยวกับงานที่เคยเรียนมาให้น้องๆดูเป็นแนวทางในการทำรายงานส่งอาจารย์นะคะ อาทิตย์นี้จะเป็นแรงงานสัมพันธ์คะซึ่งเป็นข้อมูลที่พี่ได้ศึกษามาคราวๆนะคะสำหรับตัวmodleและกระบวนการนั้นถ้าสนใจจริงๆเดี่ยวพี่จะส่งเป็นไฟล์ให้คะ
ระบบแรงงานสัมพันธ์(Employee Relations) ในอุดมคติ
แรงงานสัมพันธ์ หมายถึง ความเกี่ยวข้องและการปฏิบัติงานต่อกันทั้งทางบวกและทางลบระหว่างบุคคลสองฝ่ายคือ ฝ่ายนายจ้าง หรือฝ่ายบริหาร หรือผู้จัดการฝ่ายหนึ่ง กับฝ่ายลูกจ้าง หรือฝ่ายพนักงาน หรือฝ่ายผู้ปฏิบัติงานอีกฝ่ายหนึ่ง การเกี่ยวข้องและการปฏิบัติต่อกันระหว่างบุคคลทั้งสองฝ่ายดังกล่าวมีผลกระทบทั้งทางบวกและทางลบ ต่อกระบวนการบริหาร กระบวนการผลิต และธุรกิจของนายจ้าง การทำงานและความเป็นอยู่ของลูกจ้าง สภาวะทางเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศ
แรงงานสัมพันธ์ มีความหมายครอบคลุมถึงความเกี่ยวข้องและการปฏิบัติต่อกันระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง ตั้งแต่การกำหนดนโยบายบุคคล การว่าจ้าง ไปจนถึงการเลิกจ้าง เช่นการรับสมัคร การคัดเลือก การฝึกงาน การฝึกอบรม การจัดสวัสดิการ การบังคับบัญชา การกำหนดวินัยและโทษทางวินัย การใช้มาตรการทางวินัย การสร้างความพอใจในการทำงาน การยอมรับนับถือต่อกัน การเข้าไปมีส่วนร่วมในการจัดการและตัดสินใจของอีกฝ่ายหนึ่ง การเจรจาต่อรอง การร้องทุกข์ การเลิกจ้าง รวมทั้งการใช้มาตรการต่างๆในการบังคับให้อีกฝ่ายหนึ่งปฏิบัติตามความต้องการของอีกฝ่ายหนึ่ง เช่น การปิดงาน การนัดหยุดงาน เป็นต้น
แรงงานสัมพันธ์ ในความหมายอย่างกว้างนั้นนอกจากจะหมายถึง ความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างแล้ว ยังรวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างองค์การของฝ่ายนายจ้างและองค์การของฝ่ายลูกจ้าง และความสัมพันธ์ซึ่งฝ่ายที่สามคือ รัฐ ที่เข้าไปมีบทบาทอย่างสำคัญในการส่งเสริม สนับสนุนให้เกิดความสัมพันธ์อันดีระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง การวางมาตรฐานในการจ้างงานและการใช้แรงงงาน การระงับข้อขัดแย้งหรือข้อพิพาทแรงงานที่เกิดขึ้นให้ยุติลงโดยเร็วและด้วยความพอใจของทั้งสองฝ่ายมากที่สุด(เกษมสันต์ วิลาวรรณ,2551, น.10)
แรงงานสัมพันธ์เป็นเรื่องเกี่ยวกับการจัดการในการองค์กรและการควบคุมกิจกรรมการจ้าง การจัดการความสัมพันธ์ภายในองค์กรระหว่างฝ่ายจัดการ(หรือนายจ้าง) กับลูกจ้างครอบคลุมทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการทั้งที่เป็นแบบปัจเจกบุคคล(สังศิต พิริยะรังสรรค์,2546)
แรงงานสัมพันธ์ หมายถึง การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายจัดการกับพนักงานหรือตัวแทนของทั้งสองฝ่ายและความสัมพันธ์ระหว่างพนักงานด้วยกันเอง ในการที่จะพัฒนาระบบงานร่วมกันอย่างสมานฉันท์ร่วมทั้งป้องกัน บรรเทาและแก้ไขความขัดแย้งขององค์การทั้งนี้โดยที่รัฐหรือองค์การของรัฐเข้ามาร่วมด้วย (เมธาวุฒ พีระพรวิทูร,2552)
ดังนั้น แรงงานสัมพันธ์ในทัศนคติของข้าพเจ้า คือ การพยายามผสานสิ่งต่างๆเข้าด้วยกันระหว่าง ฝ่ายจัดการกับฝ่ายพนักงานหรือตัวแทนทั้งสองฝ่ายในการสร้างความสมดุลแห่งธรรมชาติ ทั้งของฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้าง โดยมีรัฐหรือองค์การของรัฐเข้ามาเป็นตัวผสานความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของทั้งสองฝ่ายเมื่อเกิดความขัดแย้งหรือข้อบาดหมางระหว่างกัน และเยี่ยวยาฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดรวมทั้งการป้องกันและแก้ไขข้อพิพาทต่างๆด้วย
ระบบแรงงานสัมพันธ์มีลักษณะ ที่เรียกว่า “ก้าวย่างบนทางคู่” คือ ลักษณะการ อิน-หยัง1 ที่เป็นเครื่องกำหนดให้ทุกสิ่งทุกอย่างทุกปรากฏการณ์ทุกคุณลักษณะมี “คู่ตรงข้าม” เสมอ การที่สรรพสิ่งและสรรพคุณในจักรวาลล้วนเป็นพันธะภาวะทั้งสิ้น เช่น ความสว่างจะมีอยู่ได้เฉพาะในความมืด นายจ้างจะคงอยู่ได้ต้องอาศัยลูกจ้างเช่นกัน โดยบริษัทจะยังคงอยู่และพัฒนาได้ต้องอาศัยการก้าวไปพร้อมๆกันของนายจ้างและลูกจ้างหากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเกิดปัญหาก็จะทำให้อีกฝ่ายหยุดชะงักได้เช่นกัน เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วก็มีลักษณะเหมือนกงล้อที่ต้องวิ่งไปพร้อมๆกัน เปรียบดังนายจ้างเป็นล้อเกวียนด้านซ้าย และลูกจ้างเป็นล้อเกวียนด้านขวา ที่ต้องอาศัยล้อทั้งสองข้างเพื่อที่จะให้เกวียนสามารถเคลื่อนที่ไปได้ กล่าวคือ นายจ้างกับลูกจ้างไม่สามารถที่จะแยกตัวเป็นเอกเทศจากกันออกไปได้ ทั้งสองอย่างต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน ต่างให้กำเนิดแก่กันและกัน และต่างก็แปรเปลี่ยนรูปเป็นกันและกัน ลักษณะของระบบนี้เป็นการเน้นที่ปัจเจกบุคคล ซึ่งจะประกอบด้วยบริบททางด้านเศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง กฎหมาย และสังคม รวมทั้งอุดมการณ์ร่วม ในการบรรลุทางสายกลางหรือความสมดุลของธรรมชาตินั้นเอง เพราะเมื่อทุกคนเน้นความสมดุลหรือทางสายกลางนั้นก็จะไม่เกิดความขัดแย้ง แต่ใช่ว่าการไม่เกิดความขัดแย้งนั้นจะเป็นสิ่งดีเสมอไป บางครั้งการเกิดความขัดแย้งก็สามารถทำให้ระบบแรงงานสัมพันธ์ หรือความสัมพันธ์ของนายจ้างและลูกจ้างสามารถเข้าใจกันมากขึ้น เปรียบเสมือนการเกิดภัยพิบัติต่างๆทางธรรมชาติที่อุบัติขึ้นเพื่อเป็นการปรับความสมดุลของธรรมชาตินั้นเอง เช่น การเกิดภูเขาไฟระเบิดเป็นการช่วยปรับเปลือกโลกให้อยู่ในภาวะสมดุล รวมทั้งฝุ่น เถ้าภูเขาไฟที่ล่องลอยอยู่ในอากาศชั้นสตราโตรเฟียร์ ทำให้บรรยากาศโลกเย็นลงเช่นกัน
______________________________
1เป็นความเชื่อโดยทั่วไปของจีนโบราณ กล่าวคือ เห็นว่าโลก จักรวาล และสรรพสิ่ง เกิดขึ้นด้วยการบรรสานกลั่นตัวของพลังปราณ (ชี่) เป็นรูปธาตุพื้นฐานของทุกๆสิ่ง กล่าวคือ สรรพสิ่งในจักรวาลจะเกิดขึ้นได้ด้าย “ชี่” อันเป็นจลนภาวะ (dynamic) ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จึงไม่มีสิ่งใดที่คงสภาวะเป็นนิจจังอยู่ได้ พลังดังกล่าวจะมี 2 ลักษณะหลักด้วยกัน คือ อิน หมายถึง ยามที่นิ่งเฉย ประมวล หดตัว ปิด และหยัง หมายถึง ในยามการเคลื่อนไหว การกระจาย ขยาย เปิดออก
ฉะนั้นหากกงล้อข้างใดมีปัญหาแสดงว่าระบบของกงนั้นไม่ดีหรืออาจเกิดการชำรุด จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการปรับปรุงซ่อมแซมเพื่อทำให้ล้อสามารถกลับมาใช้งานได้ดีเช่นเดิมหรืออาจดีกว่าเดิมก็เป็นได้ หากเป็นคนมีปัญหาก็ต้องมีการเจรจาต่อรอง การไกล่เกลี่ยเพื่อหาข้อยุติความขัดแย้งเช่นกันในกรณีที่ไม่สามารถหาข้อยุติกันภายในบริษัทได้ ก็ต้องอาศัยรัฐเป็นตัวกลางในการเชื่อมความสัมพันธ์ เพราะสิ่งเหล่านี้จะสามารถนำมาพัฒนาระบบการผสมผสานความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของลูกจ้างและนายจ้างได้เป็นอย่างดี โดยสามารถแสดงความสัมพันธ์เป็นดังรูปภาพข้างล่างนี้
ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน(Unity)
องค์กรนายจ้าง บริบทต่างๆ
นายจ้าง ลูกจ้าง องค์กรลูกจ้าง
(Employer) (Employee)
ความขัดแย้ง(Conflicts)
รูปภาพแสดงแบบจำลองระบบแรงงานสัมพันธ์ในอุดมคติ
ระบบแรงงานสัมพันธ์ ประกอบด้วย ตัวแสดง(Actor) บริบท (context) และอุดมการณ์ร่วม (collective ideology) ของระบบ
ตัวแสดง (Actor) ที่เกี่ยวข้องได้แก่ ฝ่ายนายจ้าง หรือฝ่ายจัดการหรือองค์การของนายจ้าง องค์การของนายจ้างได้แก่ สมาคมนายจ้าง สหพันธ์นายจ้าง และสภาองค์การนายจ้าง ฝ่ายลูกจ้าง องค์การของลูกจ้างได้แก่ สหภาพแรงงาน สหพันธ์แรงงาน และสภาองค์การลูกจ้าง ภาครัฐและองค์การของรัฐที่เกี่ยวข้อง
ด้านบริบท(Context) ของระบบ ได้แก่ การเมือง คือ ความมั่นคงทางการเมืองภายในและนอกประเทศ การเมืองแบบอนุรักษ์นิยม เสรีนิยม นโยบายของรัฐบาล ระบบเศรษฐกิจ ได้แก่ ระบบทุนนิยม สังคมนิยม ภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ระดับการว่างงาน การปกครอง ได้แก่ แบบประชาธิปไตย หรือสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ กฎหมายได้แก่ กฎหมายแรงงาน กฎหมายประกันสังคมและกฎหมายที่เกี่ยวกับแรงงาน สังคม คือ ขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆของแต่ละสังคม ชนชั้น ศาสนา ระดับการศึกษา จิตวิทยา และปรัชญาต่างๆที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของตัวแสดง และสุดท้ายกระบวนการโลกาภิวัฒน์ คือ การเปลี่ยนแปลงของโลกภายนอก อิทธิพลจากโลกภายนอก องค์การระหว่างประเทศ เทคโนโลยี ความล้ำสมัยต่างๆ
อุดมการณ์ร่วม (collective ideology) ซึ่งได้แก่ ความเมตตากรุณา คือ ความรักและความสงสารที่จะช่วยเหลือผู้อื่น การกระเหม็ดกระแหม่ คือ การมีชีวิตอยู่อย่างเรียบง่าย แสวงหาเฉพาะสิ่งที่จำเป็นต่อชีวิต ไม่ละโมบอยากได้จนเกินความจำเป็น เช่น การสะสมทรัพยากรต่างๆไว้มากเกินความพอดี รู้จักความพอดี เลิกละสิ่งที่ไม่จำเป็นเสีย และความอ่อนน้อมถ่อมตน คือ การรู้จักให้เกียรติแก่กันและกันในการไปเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้อื่น ควรประพฤติตนให้เป็นคนสุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่โอ้อวดทะนงตน เหมือนดังที่เล่าจื่อเปรียบคนดีเหมือนน้ำ น้ำเป็นของอ่อน น้ำสามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ต่างๆได้ ดังคำสอนของเล่าจื่อที่กล่าวไว้ในคัมภีร์เต๋า-เต๊ะ-จิง บทที่ 8 ว่า
“คนที่ดีที่สุดมีลักษณะเหมือนน้ำ น้ำให้ประโยชน์แก่ทุกสิ่ง
ไม่เคยแก่งแย่งแข่งขันกับสิ่งใด น้ำมักไหลไปอยู่ที่ต่ำสุด
อันเป็นที่ที่คนดูหมิ่นเหยียดหยาม ดังนั้นน้ำจึงอยู่ในที่ใกล้เต๋า...”2
ฉะนั้น จงสุภาพเพื่อความกล้าหาญ จงกระเหม็ดกระแหม่เพื่อความเป็นอยู่ และจงอย่าชิงล้ำหน้าผู้อื่น จะได้เป็นผู้น้ำผู้อื่น หากทิ้งแผนการใดๆ เสียได้ หากละทิ้งการคาดหมายผลกำไรไปบ้างจะเป็นการดี สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้างต่างต้องยึดถือปฏิบัติร่วมกัน
¬¬¬¬¬¬¬_____________________________
2เล่าจื๊อ อ้างในทองหล่อ วงษ์ธรรมา.เต๋า: ทางแห่งธรรมชาติ.กรุงเทพฯ.พิมพ์ครั้งที่1: โอเดียนสโตร์.2549 หน้า47.
การทำงานของระบบแรงงานสัมพันธ์
ปัจจัย กระบวนการ ผลลัพธ์
ตัวแสดง
บริบท ความสงบสุข(Rest)
อุดมการณ์ร่วม
ผลสะท้อนการผสาน
รูปภาพแสดงระบบการทำงานของ “ก้าวย่างบนทางคู่”
“ซี่ล้อสามสิบซี่อยู่รอบดุมล้อจึงเป็นล้อที่สมบูรณ์
รถใช้การได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับความเป็นศูนย์
ดินเหนียวถูกปั้นขึ้นมาเป็นภาชนะ
ภาชนะใช้ประโยชน์ได้ก็โดยอาศัยความไม่มี
ประตูหน้าต่างถูกเจาะเป็นช่องว่างเพื่อเป็นส่วนประกอบของห้อง
ในความว่านั้นแหละที่ทำให้ห้องใช้ประโยชน์ได้
ดังนั้น ทำสิ่งที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์ และทำสิ่งที่ไม่มีให้เกิดผล”3
_____________________________________
3เล่าจื๊อ อ้างใน ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์. คัมภีร์เต๋า ฉบับสมบูรณ์ พร้อมอรรถกถา.เชียงใหม่.พิมพ์ครั้งที่3: สำนักพิมพ์จารึก.หน้า50.
เป็นการพยายามชี้ให้เห็นความสำคัญของกงล้อว่าอยู่ที่ดุม ซึ่งเป็นศูนย์ ศูนย์หรือความไม่มี(Non-being) ไม่ใช่ความว่างอันมีลักษณะเชิงปฎิเสธ (negative) คือ มิใช่ว่างจากวัตถุ หรือสรรพสิ่ง แต่เป็นความว่างในเชิงปฏิภาค (passive) เป็นความว่างที่เต็มไปด้วยพลังแห่งการสร้างสรรค์ เป็นศักยภาพอันสมบูรณ์และเป็นที่แห่งสรรพสิ่ง ซึ่งศูนย์ในที่นี้แหละที่ทำให้ล้อหมุนไปได้ เพราะดุมที่ว่าก็คือภาวะจิตของแต่ละฝ่าย ระบบนี้จะเน้นการทำงานด้วยแรงใจและแรงกายเป็นสิ่งขับเคลื่อนระบบ
การร่วมเจรจาต่อรองร่วม (Collective bargaining) คือ การเจรจาเกี่ยวกับเงื่อนไขการจ้างและการทำงานซึ่งกระทำโดยฝ่ายนายจ้างหรือกลุ่มของนายจ้างหรือองค์การของนายจ้างฝ่ายหนึ่ง กับตัวแทนของลูกจ้างหรือผู้แทนขององค์การของลูกจ้างอีกฝ่ายหนึ่ง ทั้งนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ได้ข้อตกลงในการจ้างและการทำงานอันเป็นที่น่าพอใจร่วมกันของทั้งสองฝ่าย (เกษมสันต์ วิลาวรรณ, 2551, น.185)
หลักการเจรจาต่อรอง ผู้ที่เข้าร่วมในการเจรจาต้องเป็นผู้ที่มีศิลปะในการพูด การเจรจาที่ดีนั้นต้องมีเอกสารและข้อมูลต่างๆประกอบด้วย เช่น การเจรจาเรื่องการขอค่าจ้างเพิ่มก็ต้องมีดัชนีราคาผู้บริโภค บัญชีแสดงค่าจ้างเปรียบเทียบระหว่างค่าจ้างของนายจ้างเรากับนายจ้างอื่นที่ประกอบกิจการเดียวกัน มูลค่าของสวัสดิการเปรียบเทียบ งบดุลของกิจการนายจ้าง ระเบียบข้อบังคับ และตัวเลขสถิติต่างๆ และอาศัยหลักอุดมการณ์ร่วมในการเจรจาโดยแต่ละฝ่ายจะต้องยึดหลักทางสายกลางในการทำงานและเจรจาร่วมด้วย คือ การที่เราต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา ไม่เอาเปรียบซึ่งกันและกัน และจงพอใจในสิ่งที่ตนพึ่งมีพึงได้ ในกรณีที่เกิดปัญหา ต้องพยายามเจรจาในระดับทวิภาคีให้สิ้นสุดเพื่อรักษาความเป็นเอกภาพในการทำงาน
ในกรณีของการเจรจาล้มเหลวเราจะมีองค์กรของรัฐมาเป็นตัวกลางในการไกล่เกลี่ยหาข้อยุติการพิพาท ทั้งนี้ไม่จำเป็นต้องอาศัยหลักกฎหมายมากนัก ดังคำกล่าวของท่านเล่าจื๊อที่ว่า “กฎหมายยิ่งมาก ราษฎรยิ่งยากจน ฝ่ายปกครองมีเลห์เหลี่ยมมากขึ้น บ้านเมืองยิ่งยุ่งยาก ฝ่ายปกครองยิ่งมีชั้นเชิงมาก เรื่องทุจริตก็ยิ่งมีมากขึ้น กฎหมายยิ่งเข็มงวด โจรผู้ร้ายยิ่งชุกชุม” ข้าพเจ้ากำลังเสนอว่าหลักการไกล่เกลี่ยที่เหมาะสมนั้นควรมีกฎหมายไปเกี่ยวข้องแต่พองาม เพราะถ้ามีมากก็จะไม่สามารถหาข้อยุติได้ อย่างเช่น กรณีของการนัดหยุดงานของบริษัท ไทยเกรียงปั่นทอ ฟอกย้อม ที่ต้องอาศัยการแก้ปัญหาในระดับไตรภาคี คือ มีฝ่ายนายจ้าง ลูกจ้าง และองค์กรของรัฐเข้าไปเกี่ยวข้องจึงสามารถหาข้อยุติได้
ความสงบสุข(Rest) คือ การที่ฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้างสามารถที่จะพัฒนาระบบแรงงานสัมพันธ์ร่วมกัน โดยวัดจากการพัฒนาของบริษัทและการอยู่ดีกินดีของลูกจ้างตลอดจนความสุขในการดำเนินงานของแต่ละฝ่าย รวมทั้งการสามารถนำพาให้บริษัทและลูกน้องผ่านพ้นวิกฤติทางเศรษฐกิจไปได้ด้วยดี โดยไม่ทำให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้รับผลกระทบมากนัก ซึ่งจะอยู่ในลักษณะการร่วมแรงร่วมใจกัน (Collaborative) ในการฝ่าฟันวิกฤติการณ์ต่างๆ ของบริษัท เป็นการเข้าใจซึ่งกันและกันของแต่ละฝ่าย สิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวขับเคลื่อนระบบ (System-driven) ให้ระบบสามารถทำงานของมันต่อไปได้แม้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม จะออกมาในรูปของความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (Unity)ของบริษัท ทั้งนี้สามารถใช้ทิศทางของบริษัทเป็นตัววัดผลของการทำงานผสานกันของตัวระบบ ซึ่งดันลอปได้ใช้คำว่าการสมานฉันท์ แต่ข้าพเจ้าขอใช้คำว่าความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน(Unity) เพราะสิ่งนี้จะเป็นตัวที่สะท้อนให้เห็นความเป็นจริงในการทำงานเป็นทีม(Teamwork) ได้ดีกว่า(ในความเห็นของข้าพเจ้า) ซึ่งการทำงานในบริษัทก็ไม่ต่างอะไรกับการเป็นนักกีฬาทีมๆหนึ่ง เปรียบเสมือนนายจ้างเป็นโค้ชและลูกจ้างเป็นนักกีฬา นักกีฬาต้องทำตามที่โค้ชสั่ง เนื่องจากต้องมีการแข่งขันทำให้ทีมอยู่รอดในการแข่งขันเพื่อชิงชัยในแต่ละฤดูกาลไป และสิ่งที่ใช้วัดความสำเร็จ คือ ความพึงพอใจของทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่ชัยชนะแต่อย่างใดแต่เป็นชัยชนะที่เกิดขึ้นในจิตใจของทั้งสองฝ่ายมากว่าที่จะเป็นตัวชี้วัดได้เป็นอย่างดี เฉกเช่นการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงแห่งเอเชียเมื่อเร็วๆนี้ ที่ทีมประเทศไทยสามารถขว้างชัยชนะมาอย่างเกินความคาดหมายได้ เพราะทุกคนได้ใช้ความสามารถเต็มที่ แม้จะรู้ว่าไม่สามารถชนะได้ก็ตามแต่ทุกคนก็ตั้งใจในการแข่งขันอย่างสุดความสามารถ ทำให้สามารถชนะแบบพลิกล๊อก
ต่อไปเรามาดูว่าตัวอย่างระบบการทำงานของ “ก้าวย่างบนทางคู่” ของข้าพเจ้านั้นสามารถใช้ประโยชน์ได้จริงหรือไม่ ทุกท่านคงจะเคยได้ยินสำนวนที่ว่า “สงครามสร้างวีรบุรุษ” มานักต่อนักแล้ว ฉะนั้นวิกฤติจึงสร้างโอกาส ในทางเศรษฐกิจก็เช่นกัน เช่น ในกรณีของวิกฤติการณ์ปี 2540 หรือวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ปี 2550 ที่ผ่านมา เราสามารถเห็นการทำงานของระบบแรงงานสัมพันธ์ของแต่ละองค์กรแล้วว่า ระหว่างการที่ต่างคนต่างเดินของนายจ้างกับลูกจ้างนั้นจะส่งผลกระทบต่อองค์กรด้านความมั่นคงในระยะยาวอย่างไร กับองค์กรที่อาศัยการก้าวย่างไปพร้อมๆกันนั้นมีลักษณะอย่างไร ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างในฝั่งของประเทศตะวันตก เช่น บริษัท GM กับบริษัทโตโยต้ามอเตอร์ จำกัด(มหาชน) บริษัทประเทศฝั่งตะวันออก ซึ่งเป็นบริษัทผลิตรถยนต์ทั้งคู่ แต่สิ่งที่ทั้งคู่มีไม่เหมือนกันคือ ปรัชญาในการบริหารงาน ทิศทางและแนวทางของบริษัทต่อระบบแรงงานสัมพันธ์ บริษัทโตโยต้ามอเตอร์ จำกัด(มหาชน) จะมีแนวทางปฏิบัติที่เรียกว่า วิถีโตโยต้า ได้แก่ การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง และการยอมรับนับถือซึ่งกันและกัน ซึ่งวิกฤติการณ์ปี 2540 บริษัทโตโยต้าเป็นบริษัทเดียวที่ไม่มีนโยบายปลดพนักงานออกเลยเมื่อเทียบกับบริษัทที่ประกอบอุตสาหกรรมเดียวกัน โดยจะมีรูปแบบการบริหารดังนี้ คือ การที่พนักงานเกิดความมั่นคงในมาตรฐานการครองชีพดีขึ้นและได้รับความพึงพอใจในการทำงาน ทำให้เกิดการเชื่อใจซึ่งกันและกัน นำไปสู่การทุ่มทำงานงานด้วยความมานะพยายามตามมนโยบายบริษัท ผลทำให้บรรลุตามเป้าหมายที่บริษัทตั้งไว้ และบริษัทเจริญรุ่งเรือง ทำให้บริษัทเตรียมการจ้างงานที่มั่นคง และปรับปรุงสภาพแวดล้อมในการทำงานให้ดีขึ้นดังรูป
บริษัทเตรียมการจ้างงานที่มั่นคง และปรับปรุงสภาพแวดล้อมในการทำงานให้ดี
เชื่อใจซึ่งกัน
ทุ่มทำงานงานด้วยความมานะพยายามตามมนโยบายบริษัท
รูปภาพแสดงปรัชญาในการบริหารงานของบริษัทโตโยต้า
ในกรณีที่เกิดข้อพิพาทบริษัทโตโยต้าจะมีการเจรจาต่อรองให้แล้วเสร็จภายในบริษัทเท่านั้น จะมีการใช้องค์การของภาครัฐเข้าไปมีส่วนร่วมน้อยมาก ภาพข้างต้นนี้ก็สะท้อนให้เห็นการก้าวไปพร้อมๆกันของบริษัทกับพนักงาน แต่สำหรับแนวคิดของข้าพเจ้านั้นจะอยู่ในลักษณะที่ลึกซึ่งกว่าตรงที่มีการผสานกันเป็นหนึ่ง กล่าวคือ ถ้าโตโยต้าใช้สี่เท้าในการเดินไปข้างหน้าแต่ของข้าพเจ้าจะใช้สามเท้าในการเดินโดยนำเท้าของแต่ละฝ่ายมามัดรวมกันเป็นหนึ่งเป็นการหลอมรวมจิตใจเป็นหนึ่งดุมที่กล่าวข้างต้นนี้คือ “จิตใจ”ของแต่ละฝ่ายนั้นเอง ของโตโยต้าจะใช้สองล้อพร้อมกันแต่ของข้าพเจ้าจะใช้ล้อเดียวแต่อยู่ร่วมกัน ข้าพเจ้ากำลังกำลังชี้ให้เห็นว่าบริษัทโตโยต้าได้ได้อาศัยการบริหารงานที่อาศัยหลักคำสอนแบบปรัชญาตะวันออกมาใช้ในการบริหารงานและสามารถทำให้บริษัทประสบความสำเร็จได้ แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าพยายามอธิบายนั้นคือ วิถีทางปรัชญาของเต๋า แม้จะเป็นตรอกสวนกลับก็ตาม แต่ข้าพเจ้ามองว่าการที่เรารวมความต่างกันมาอยู่ด้วยกันนั้นสามารถนำไปสู่ความสำเร็จขององค์กรได้เช่นกัน เพราะทุกอย่างล้วนเป็นทางแห่งธรรมชาติ(Way of Nature)
วันเสาร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2554
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)