
ภาคแรก อาสาสมัครกับนิสิตนักศึกษา
ตอนที่ 1 ความหมายที่หายไป
เมื่อกล่าวถึงคำว่า “อาสาสมัคร” ทุกคนก็คงจะนึกถึงการที่เรารับอาสาทำกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งๆเพื่อคนอื่นที่เรารู้จักและไม่รู้จัก และอาจต้องเป็นงานที่ทำกันเป็นกลุ่มเล็กใหญ่ หรือคนเดียวขึ้นอยู่กับลักษณะของกิจกรรมที่เราทำ เป็นการสละเวลายามว่างหรือทั้งชีวิต เพื่อสิ่งที่ตนเองรักและต้องการแบ่งปันความรู้สึก โอกาส เวลา เพื่อสร้างความเท่าเทียม หรือการสืบทอดเจตนารมณ์ วัฒนธรรม ตลอดจนค่านิยมต่างๆเพื่อรักษาไว้ซึ่งเอกลักษณ์ที่เราอยากให้เป็น โดยมิหวังผลตอบแทน เหล่านี้ล้วนเป็นมุมมองจากตัวของข้าพเจ้าเอง เรามาดูลักษณะของความหมายที่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ศุภรัตน์ รัตนมุขย์ อาจารย์ประจำสำนักบัณฑิตอาสาสมัคร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้รวบรวมไว้ในการวิจัยเรื่อง อาสาสมัคร : การพัฒนาตนเองและสังคม ซึ่งอาจารย์ได้รวบรวมลักษณะของคำ การใช้ภาษาของแต่ละประเทศที่ใช้เรียกกัน โดยจะมีการพูดถึงการเริ่มใช้ในครั้งแรก และคำที่ใช้เรียกของแต่ละประเทศดังต่อไปนี้
ความหมายของอาสาสมัคร
“อาสาสมัคร” เป็นคำที่เทียบเคียงความหมายกับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า “Volunteer” โดยที่คำว่า “Volunteer” นี้ ได้มีการใช้ครั้งแรกในช่วงศตวรรษที่ 17 ซึ่งหมายถึงผู้ที่สมัครเข้าเป็นทหารโดยไม่ได้ถูกบังคับให้เป็นตามปกติ กล่าวคือสมัครใจที่จะเป็นเอง และความหมายนี้ยังใช้รวมไปถึง การสมัครใจทำงานใด ๆ โดยไม่รับค่าตอบแทน (Oxford English Dictionary) นอกจากนี้มีคำศัพท์ในภาษาอังกฤษที่เกี่ยวข้องกับคำว่า “อาสาสมัคร” อีก 2 คำ คือ “Voluntarism” และ “Volunteerism” โดยคำแรกมีความหมายที่ใช้กับกิจกรรมที่ทำบนความสมัครใจ ใช้กันในองค์กรเอกชนที่ไม่ได้ถูกระบุทำหน้าที่นั้น ๆ ตามกฎหมาย ส่วนคำที่ 2 คือ Volunteerism นี้ เป็นคำที่ใช้กันมากและมีความหมายที่กว้างกว่าคำแรก กล่าวคือ เรื่องใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับตัวอาสาสมัคร หรือการอาสาเข้าไปทำเรื่องใด ๆ โดยไม่จำกัดประเภทของกลุ่มหรือองค์กร ดังนั้นจุดต่างที่ชัดเจนของ 2 คำนี้ อยู่ตรงที่ “Voluntarism” เน้นที่ตรงองค์กรเอกชนที่ไม่หวังผลกำไร ขณะที่ “Volunteerism” มีความหมายถึงกิจกรรมอาสาสมัครที่ครอบคลุมหน่วยงานทุกประเภทซึ่งรวมถึงหน่วยงานภาครัฐด้วย
คำว่า “Volunteer” จึงเป็นคำที่มีลักษณะเด่นเฉพาะของแต่ละประเทศแต่ละภาษา ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมทางสังคมของประเทศนั้น ๆ สำหรับประเทศไทยใช้คำว่า “อาสาสมัคร”
ซึ่งหมายถึงการทำสิ่งใด ๆ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน อีกประเทศที่ใช้คำว่า “อาสาสมัคร” คือสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยหมายถึงสมัครใจเข้าไปทำ ประเทศที่มีความหมายของอาสาสมัครใกล้เคียงกับประเทศไทยนอกจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวแล้ว ก็มี ประเทศอินเดียที่ใช้คำว่า “Swajamsewak” ซึงหมายถึงให้บริการผู้อื่น ประเทศเกาหลีใช้คำว่า “Jawonbongsa” ซึ่งหมายถึงสมัครใจทำ ประเทศบังคลาเทศใช้คำว่า “Swetcha” ซึ่งหมายถึงการให้บริการผู้อื่นด้วยแรงจูงใจภายในตนเอง นอกจากความหมายในการสมัครใจทำเพื่อผู้อื่นแล้ว มีอีกหลายประเทศที่ให้ความหมายเน้นที่การทำงานเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกันในกลุ่มหรือชุมชน เช่น ประเทศเคนยาใช้คำว่า “Harambee” ซึ่งหมายถึงเข้าร่วมกลุ่มกันด้วยความสมัครใจ ซึ่งใช้เป็นคำขวัญประจำชาติเมื่อได้รับเอกราชในปี 1963 เพื่อมุ่งชวนให้ประชาชนเสียสละกำลังกาย เวลา และทรัพยากรอื่น ๆ ในการช่วยกันสร้างชาติ ชนเผ่าเมารีในประเทศนิวซีแลนด์ใช้คำว่า “Whanaungatanga” ซึ่งหมายถึงการรวมกลุ่มผู้คนเข้าด้วยกันและทำงานด้วยกันเสมือนหนึ่งครอบครัวเดียวกัน หรือ ในประเทศฟิลิปปินส์ใช้คำว่า “Bayanihal” ซึ่งหมายถึงความปรารถนาที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาความหมายอันเป็นสากลของคำว่า “อาสาสมัคร” ซึ่งใช้เทียบเคียงกับคำภาษาอังกฤษทั้ง 2 คำคือ “Volunteer” และ “Volunteerism” แล้ว บรรดานักวิชาการและผู้ทำงานในวงการอาสาสมัคร เช่น Susan J. Ellis และ Katerines H. Noyes ได้เห็นพ้องในความหมายว่า “เป็นการเลือกกระทำสิ่งต่าง ๆ ที่เห็นว่าเป็นสิ่งที่ควรกระทำ และเป็นความรับผิดชอบต่อสังคมโดยไม่หวังผลตอบแทนเป็นเงินทอง และการกระทำนี้ไม่ใช่ภาระงานที่ต้องทำตามหน้าที่”ซึ่งจากความหมายนี้จะเห็นถึงองค์ประกอบที่สำคัญของคำว่า “อาสาสมัคร” อยู่ 4 ประการด้วยกันคือ
(1) การเลือก (Choose) อันเป็นการเน้นที่เจตจำนงที่อิสระที่จะกระทำหรือไม่กระทำในสิ่งใด ๆ
(2) ความรับผิดชอบต่อสังคม (Social Responsibility) หมายถึงการกระทำที่มุ่งมั่นเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ซึ่งอาจเป็นได้ทั้ง บุคคล กลุ่มคน หรือสังคมส่วนรวม
(3) โดยไม่หวังผลตอบแทนเป็นเงินทอง (Without Monetary Profit) หมายถึงไม่ได้หวังผลรายได้ทางเศรษฐกิจ แต่อาจรับเป็นรางวัลหรือ ค่าใช้จ่ายทดแทนที่ตนเองได้ใช้จ่ายไป แต่อย่างไรก็ตามก็ไม่อาจเทียบได้กับค่าของสิ่งที่ได้กระทำลงไป
(4) ไม่ใช่ภาระงานที่ต้องทำตามหน้าที่ (Beyond Basic Obligations) หมายถึงสิ่งที่ทำนั้นอยู่นอกเหนือความจำเป็น หรือสิ่งที่ถูกคาดหวังว่าจะต้องทำตามภาระหน้าที่ เช่น งานตามหน้าที่ประจำที่ได้รับค่าจ้าง การดูแลครอบครัวตนเอง ความรับผิดชอบในฐานะพลเมือง (เช่น การไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง) ฯลฯ
องค์ประกอบของอาสาสมัคร สามารถแบ่งลักษณะงานอาสาสมัครออกได้เป็น 4 แบบ
(1) การให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน หรือการพึ่งตนเอง (Mutual aid or self-help)
(2) การช่วยเหลือบริการผู้อื่น (Philanthropy or service to others)
(3) การมีส่วนร่วม (Participation)
(4) ผู้สนับสนุนหรือเรียกร้องความเป็นธรรมเพื่อสังคม (Advocacy or
campaigning)
ประเภทของกิจกรรมอาสาสมัคร ทั้งนี้สามารถแยกเป็นประเภทได้ดังนี้ ในด้านสิทธิและสตรี ศิลปวัฒนธรรม รักษ์สิ่งแวดล้อม พัฒนาชนบท ช่วยเหลือสัตว์ ชีวิตและสุขภาพ ให้เด็กและเยาวชน คนพิการ คนชรา และสุดท้ายเกี่ยวกับ IT การสร้างสื่อการเรียนรู้
องค์การอาสาสมัคร ประกอบด้วย Youth Venture กลุ่มนวัตกรรมเยาวชนเพื่อสังคม (Why, I why) บ้านครูน้อย มูลนิธิกระจกเงา มูลนิธิดวงประทีป มูลนิธิผู้หญิง มูลนิธิสุขภาพไทย มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม มูลนิธิเด็ก มูลนิธิอินเตอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย มูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก มูลนิธิเพื่อการฟื้นฟูพัฒนาเด็กและครอบครัว ศูนย์อาสาสมัครเด็กอ่อนปากเกร็ด สถานสงเคราะห์เด็กอ่อนพญาไท ศูนย์อาสาสมัครมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สถานสงเคราะห์เด็กอ่อนรังสิต สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรี องค์การแอ็คชั่นแอด ประเทศไทย (Action Aid) เครือข่ายจิตอาสา เครือข่ายพุทธิกาเพื่อพุทธศาสนาและสังคม และสุดท้ายเครือข่ายอาสารักษ์ธรรมชาติ นอกจากนี้ยังมีองค์การอื่นๆอีกมากมายทั้งที่เป็นของรัฐและเอกชนเองแต่ในที่ได้ยกตัวอย่างองค์การต่างๆพอสังเขปเท่านั้น เช่น มูลนิธิแกร์ด้าที่จะมีการเขียนถึงในครั้งต่อไป
ภาพการทำกิจกรรมของกลุ่มอาสารักษ์ธรรมชาติ
ตอนที่ 2 รวมพลคนอาสา
รวมพลคนอาสา หรือการสร้างเครือข่ายอาสาสมัคร ขั้นแรกจะเป็นการรับสมัครผู้ที่สนใจเป็นอาสาสมัครทั้งแบบถาวรและเฉพาะกิจโดยใช้วิธีการประกาศตามเว็บบอร์ดต่างๆ หรือการเปิดรับสมัครตามสถานศึกษาต่างๆ และหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ต่อมา จะเป็นการจัดฝึกอบรมจะมีการเลือกใช้การสัมมนา ประชุม และการปฐมนิเทศ เพื่อให้ทุกคนมีความเข้าใจในจุดมุ่งหมายในการทำงานตรงกัน จากนั้นก็มีการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบเพื่อดำเนินการในขั้นต่อไป และสุดท้ายจะใช้การประชาสัมพันธ์ ได้แก่ โทรทัศน์ สื่อสิ่งพิมพ์ อินเตอร์เน็ต และใช้การประชาสัมพันธ์ตามพื้นที่ต่างๆ เพื่อสร้างเครือข่ายที่เข้มแข็ง เมื่อเราได้อาสาสมัครทั้งหมดที่เราต้องการแล้ว จะต้องมีการติดต่อกันเป็นระยะๆเพื่อรักษาไว้ซึ่งสัมพันธภาพที่ดีและยั่งยืน เช่น การนัดรับประทานอาหารร่วมกัน การทำกิจกรรมร่วมกันเป็นระยะๆ หรือแม้แต่การนัดพูดคุยกันก็เป็นวิธีในการสร้างเครือข่ายที่ดีได้เช่นกัน ตลอดจนการประชาสัมพันธ์ความก้าวหน้าของกลุ่ม และปฏิทินการปฏิบัติงานก็ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาสมาชิกเช่นเดียวกัน
รูปภาพการปฐมนิเทศอาสาสมัครนักศึกษาพิการ ของ
ชมรมเพื่อนโดมสัมพันธ์ ม.ธรรมศาสตร์
สิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความเหนียวแน่นในกลุ่มให้เกิดขึ้นได้เช่นกัน และสิ่งนี้แม้จะเป็นเพียงการมีปฎิสัมพันธ์ของคนกลุ่มเล็กๆที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน ก็นำไปสู่การสร้างเครือข่ายที่มั่นคงได้เช่นกัน จากภาพข้างต้นจะเห็นได้ว่านักศึกษาอาสาสมัคร และนักศึกษาพิการมีการพูดคุยกันเพื่อสร้างความเข้าใจให้ตรงกันก่อนที่จะมีการทำงานร่วมกัน เช่น การอ่านหนังสือเสียง เป็นการอ่านหนังสือบันทึงลงเทป และยังมีการพิมพ์หนังสือเพื่อนำไปสร้างหนังสือเบลล์ด้วย สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นนี้ข้าพเจ้าพยายามเชื่อมโยงถึงพลังนักศึกษากับการเป็นอาสาสมัคร ซึ่งเป็นคนหนุ่มสาวที่มีความฝันอันแรงกล้าในการทำงานเพื่อสังคม เพื่อสร้างความไม่เท่าเทียมไปสู่ความเท่าเทียมของสังคม
ตอนที่ 3 หาทุนให้ทุน
สืบเนื่องจากก่อนหน้านี้ได้กริ่นถึงพลังของหนุ่มสาวไปแล้ว ฉะนั้นบทความต่อไปนี้ที่ข้าพเจ้ากำลังเขียนถึงกิจกรรมที่ข้าพเจ้าได้ทำ โดยเนื้อหาส่วนใหญ่จะเป็นการเล่าถึงประสบการณ์ ความรู้สึก ในการได้ออกค่ายในระหว่างการศึกษา ค่ายหาทุนมีชื่อเต็มๆว่า โครงการกีฬาต้านยาเสพติดเพื่อหาทุนสนับสนุนกิจกรรมของนักศึกษาและเป็นทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนที่เรียนดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ซึ่งจะมีการจัดขึ้นทุกปีและจะมีการเปลี่ยนสถานที่ในการทำกิจกรรมทุกปีเช่นกัน โดยจะมีการเลือกจังหวัดที่มีความเหมาะสมหรับการทำกิจกรรมด้วย
โครงการครั้งนี้จัดขึ้นที่จังหวัดนครปฐม โดยผู้ที่รับผิดชอบโครงการคือรุ่นพี่ปีสาม ตอนนั้นข้าพเจ้าอยู่ปีที่หนึ่งกำลังจะขึ้นปีสอง นับว่าท้าทายมาก เพราะถือว่าเป็นค่ายแรกที่ได้มีโอกาสออกนอกสถานที่ และเป็นกิจกรรมอาสาสมัครที่สองที่ได้ทำร่วมกับเพื่อนๆพี่ๆในชมรม ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าเป็นค่ายที่จะต้องประหยัดมากๆเพื่อลดต้นทุนในการดำเนินการ เนื่องจากงบประมาณมีจำกัด สถานที่ที่ประธานค่ายเลือก คือ วัด เพราะประหยัดที่สุด มื้อเช้า มื้อเที่ยงกินข้าวก้นบาท กติกามีอยู่ว่าผู้ชายจะต้องตื้นแต่เช้าเพื่อไปช่วยพระบิณฑบาท และอีกสิ่งหนึ่งที่ประธานค่ายต้องทำ คือ การหาผู้สนับสนุนในเรื่องอาหารแห้ง สิ่งแรกที่เรามองหา คือ ศาลเจ้า เพื่อขอบริจาคอาหารแห้ง หลังจากมีการเลือกวัดที่จะอยู่เรียบร้อยแล้ว เราได้เลือกไปนอนวัดจีน(เสบียงอาหารดีสุด) นับว่าเป็นคืนที่โหดร้ายที่สุดเพราะไม่มีใครนอนได้เลย ไม่มันใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอะไรกันแน่ ชุดเตรียมค่ายเลยตกลงกันเปลี่ยนวัดใหม่และสุดท้ายก็ได้วัดห้วยจระเข้ คืนแรกในการนอนคือ นอนในศาลาพักศพ (จากคำบอกกล่าวของรุ่นพี่ชุดเตรียม) เนื่องจากศาลากลางเปรียญไม่ว่าง(เป็นอันว่าหนีผีจีน เจอผีไทยเนื่องจากวันนั้นมีศพอยู่ในศาลาข้างๆด้วย) ดีตรงที่เปิดแอร์ให้ด้วยหลับดีกว่าวัดแรกอีก เมื่อคณะอาสาสมัครชุดใหญ่มา (14 คน) เราก็ได้นอนในศาลากลางเปรียญ และงานของเราก็ได้เริ่มอย่างเต็มระบบ ตั้งแต่การประชุมงาน แบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบ และหน้าที่หนึ่งที่ทุกคนต้องทำคือ การประชาสัมพันธ์มีการจัดตารางแบ่งจำนวนคน ในการประชาสัมพันธ์ตามสถานศึกษา สถานที่ราชการ และบริเวณชุมชนเพื่อประชาสัมพันธ์โครงการ ทุกคนจะต้องตื่นตีห้าทุกวัน เพื่อเดินไปประชาสัมพันธ์บริเวณชุมชนตลาดเช้าและตลาดเย็น ทุกคืนจะมีการประชุมสรุปงานที่ได้ทำมาในตอนกลางวัน มีการกล่าวถึงปัญหาที่พบ และแนวทางในการจัดการกับปัญหา ทุกครั้งจะมีการวางแผนการทำงานในวันถัดไปเสมอ เราจะนอนประมาณ ตี สอง ตีสาม ทุกคืน ค่ายนี้มีทุกรสชาติ โหด มันและฮา ที่ว่าโหดเพราะต้องเดินไกลพอสมควร ทุกครั้งที่ไปประชาสัมพันธ์จะต้องเต้นด้วยและส่วนสุดท้ายความฮา จะเกี่ยวกับงานที่แต่ละฝ่ายไปทำมาแล้วจะมีเรื่องตลกๆมาเล่าสู่กันฟังทุกวัน ถึงแม้จะเหนื่อยก็คุ้มค่ากับความพยายาม เพราะวันที่ 14 ของการทำค่ายทางเราได้เพิ่มยอดนักเรียนในการเข้ารับทุนการศึกษา จากสามสิบคนเป็นสี่สิบคน เนื่องจากชมรมได้ระดมเงินทุนทั้งจากการบริจาค และการเปิดหมวกเกินเป้าที่ตั้งไว้ เมื่อวันงานมาถึงทุกคนมีการติดต่อประสานงานกันอย่างเต็มที่ และสิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าหายเหนื่อยคือวันที่เห็นเด็กผู้ที่พิการขา เดินทางมารับทุนการศึกษากับแม่ แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าประทับใจก็ คือ น้องอยู่อำเภอสามพรานแต่เดินทางมารับทุนถึงอำเภอเมืองกับแม่โดยนั่งรถจักรยานยนต์และอุ้มน้องตัวเล็กๆมาด้วย โดยมีแม่เป็นคนขับตอนลงจากรถเนื่องจากน้องขาพิการทำให้อุ้มน้องได้ไม่ค่อยแข็งเลยขอความช่วยเหลือจากเพื่อนข้าพเจ้า สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของเด็กผู้ชายขาพิการคนหนึ่งที่พยายามจะปกป้องน้องของตนเอง และเด็กนักเรียนทุกคนที่มาในวันนั้นสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ความยินดี เมื่อข้าพเจ้าได้เห็นแล้วทำให้ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาสิบกว่าหายเป็นปลิดทิ้งอย่างน้อยทำให้ข้าพเจ้ารับรู้ว่า การสร้างโอกาสทางการศึกษานั้นมีค่ามากแค่ไหน แม้จะเป็นเงินจำนวนเล็กน้อยก็เป็นการสร้าง กำลังใจ สร้างโอกาส ให้แก่เด็กๆที่ขาดแคลนทุนทรัพย์เหล่านั้นได้
ค่ายนี้ทำให้ข้าพเจ้าได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างที่ไม่มีในห้องเรียน ระบบการทำงาน การวางแผนบางอย่างที่ตำราไม่ได้บอก วิธีการหาผู้สนับสนุนที่ไม่มีตำราเรียนใดเขียนไว้ การเป็นผู้นำ การทำงานเป็นทีมและสุดท้ายจะเป็นการร่วมแรงร่วมใจ เพราะกิจกรรมเหล่านี้จะประสบความสำเร็จลงไม่ได้ ถ้าไม่มีการร่วมแรงร่วมใจกันในการทำงาน
ตอนที่ 4 แกร์ด้าที่ฉันรัก

ความเป็นมามูลนิธิสิทธิเด็กบ้านแกร์ด้า
มูลนิธิเด็ก ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ.2536 โดยนักธุรกิจชาวเยอรมันที่พักอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลากว่า 30 ปี และมีความต้องการทำประโยชน์แก่ประเทศเพื่อเป็นการตอบแทนด้วยความช่วยเหลือทางด้านการเงินจากมิตรและองค์กรเยอรมัน มูลนิธิเริ่มด้วยการสร้างโรงเรียนในเขตทุรกันดาร ร่วมกับ ตำรวจชายแดนในความอุปถัมภ์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ณ ปัจจุบัน (http://www.missacdc.com/20 กุมภาพันธ์ 2553.)
สำหรับค่ายนี้ต้องขอขอบคุณ แว่นแก้วเว็บ ที่ทำให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสรู้จักกับมูลนิธิสิทธิเด็กบ้านแกร์ด้า ค่ายนี้ถือว่าเป็นค่ายที่พิเศษจากค่ายอื่นที่เคยไปร่วมทำกิจกรรมด้วยมาก สิ่งแรก คือ เป็นค่ายที่มีเพื่อนๆนักศึกษาพิการไปด้วย สิ่งต่อมาเป็นมูลนิธิเด็กที่ติดเชื้อ H.I.V. แต่ที่พิเศษสุดๆก็คือ การที่เพื่อนนักศึกษาพิการร่วมทำกิจกรรมกับน้องๆในบ้านแกร์ด้า เป็นเวลาสามวันสองคืน ในการนี้ได้มีโอกาสร่วมกิจกรรมกับน้องๆเหล่านั้น เช่น การแข่งขันวาดรูป การเล่นเกม กิจกรรมนัทนาการ จากประสบการณ์ที่ได้มีโอกาสคลุกคลีอยู่กับเด็กๆ ข้าพเจ้ารู้สึกประทับใจมากโดย เฉพาะนิสัยการมีระเบียบวินัย ตรงต่อเวลา เด็กๆทุกคน จะมีหน้าที่ที่แตกต่างกัน ในมูลนิธิจะมีการทำการเกษตร เลี้ยงสัตว์เอง ในการนำมาประกอบอาหารให้ทั้งบ้านได้รับประทานด้วยกัน ทุกเช้าเด็กๆจะช่วยกันทำความสะอาดบ้านและบริเวณต่างๆ ที่ได้รับมอบหมาย เด็กทุกคนน่ารักมาก มีความคิดเป็นผู้ใหญ่ ร่าเริงแจ่มใส สิ่งที่ข้าพเจ้าได้เรียนรู้จากค่ายนี้ก็คือการ ทุกคนล้วนเป็นมนุษย์ด้วยกันและยังมีความต้องการที่จะมีความสุขแม้ว่าจะไม่รู้ว่าชีวิตจะยืนยาวแค่ไหน เด็กๆกลุ่มนี้ก็เช่นเดียวกัน เขายังเด็กและมีความต้องการที่จะมีชีวิตเหมือนเด็กธรรมดาๆคนหนึ่ง สิ่งเหล่านี้ทำให้ข้าพเจ้าตระหนักได้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับเด็กเหล่านี้มันไม่ใช่ความผิดของเขาเลยแต่เป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่เป็นผู้สร้างปัญหาเหล่านี้เองทำให้เด็กๆที่เกิดมาต้องรับกรรมในสิ่งที่เขาไม่ได้ทำ คำถามที่เกิดขึ้นในใจ คือ แล้วใครจะเป็นผู้ดูแลเด็กๆเหล่านี้ถ้าเราไม่ร่วมแรงร่วมใจกันในการสร้างความสุขให้แก่เขาเหล่านั้น แม้เป็นเพียงความสุขเล็กๆน้อยๆ ก็ทำให้เขาเหล่านั้นมีกำลังที่จะอยู่ต่อไปได้


ภาพการทำกิจกรรมร่าวมกันของอาสาสมัคร นักศึกษาพิการ และเด็กๆในบ้านแกร์ด้าที่ได้ทำร่วมกัน
ประมวลภาพกิจกรรม

สวัสดีจ้า พี่จำเราได้อำไพ เขียนได้ดีมากเลยอ่ะ
ตอบลบยังจำตอนที่ไปแกร์ด้าได้ ตอนนี้พี่ว่าจะไปทำกิจกรรมกับน้องบ้านแกร์ด้า น้องคงโตกันหมดแล้ว สบายดีนะน้อง